แกรี่ แม็คอัลลิสเตอร์ เป็นนักเตะตำแหน่งกองกลาง เขาเกิดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 1964 เขาเป็นนักฟุตบอลเพียงไม่กี่คนที่โลดแล่นอยู่ในเส้นทางสายนี้จนมีอายุมากและสามารถไปสู่การคว้าแชมป์ได้ เขาผ่านการเล่นให้กับทีมใหญ่ในอังกฤษสองทีม ซึ่งก็คือ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล
แม็คอัลลิสเตอร์ เริ่มอาชีพนักฟุตบอลของเขาในปี 1981 กับสโมสร มาเธอร์เวลล์ มีบ้านเกิดของเขาในสกอตแลนด์ ซึ่งในช่วงนั้น แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร เนื่องจากต้นสังกัดของเขาในตอนนั้นเป็นแค่ทีมเล็กๆ ในสกอตแลนด์ โดยเขาใช้เวลาค้าแข้งกับสโมสรในบ้านเกิดแห่งนี้เป็นเวลา 4 ปี ลงสนามไปทั้งหมด 59 นัด ทำไป 6 ประตู
และหลังจากนั้นชีวิตของเขาเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากที่เขาได้ย้ายมาเล่นต่างถิ่นยัง สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 1985 โดยในปีแรกที่เขาเข้ามาร่วมทีมกับเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมใหม่ของเขาร่วงลงสู่ลีกรอง แต่ แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ได้พัฒนาฝีเท้าของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และเขาก็ได้คว้ารางวัลแข้งแห่งปีของลีกดิวิชั่นสองได้ถึงสองครั้งติดต่อกัน คือในปี 1989 และ 1990 ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงคุณภาพของนักเตะรายนี้ได้เป็นอย่างดี และเขาอยู่กับ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นเวลา 5 ฤดูกาล โดยลงสนามไปทั้งหมด 201 นัด ทำไป 46 ประตู ก่อนที่เขาจะย้ายไปเล่นให้กับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ของ ปี 1990 และที่นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในอาชีพนักฟุตบอลของเขาอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ในช่วงที่ แม็คอัลลิสเตอร์ ไปร่วมงานกับทีมลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมต้นสังกัดใหม่ของเขาเพิ่งเลื่อนมาอยู่ในลีกสูงสุดของอังกฤษ แต่ก็เป็นทีมที่น่าจับตามองในช่วงนั้น ภายใต้การคุมทีมของ โฮเวิร์ด วิลคินสัน ซึ่งในฤดูกาลแรกของการย้ายขึ้นมาในลีกใหญ่พวกเขาก็สร้างความน่าเหลือเชื่อด้วยการจบที่อันดับ 4 ของตารางคะแนน ส่วนในรายการลีกคัพ พวกเขาก็ทำได้ถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่จะแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปอย่างน่าเสียดาย
ในฤดูกาลต่อมา ในปี 1991-1992 มันเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ของ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ แม็คอัลลิสเตอร์ พวกเขาผงาดขึ้นไปคว้าแชมป์ในดิวิชั่น 1 ซึ่งก็คือการแข่งขันพรีเมียร์ลีกในปัจจุบันได้สำเร็จ จากการมีคะแนนนำแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียง 4 คะแนนเท่านั้น ซึ่ง แม็คอัลลิสเตอร์ ในฤดูกาลนั้นโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมจนสามารถติดทีมยอดเยี่ยมได้ด้วย
แม็คอัลลิสเตอร์ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเตะรุ่นใหม่หลายๆ คน ว่าการที่ก้าวขึ้นมาจากลีกเล็กๆ ก็สามารถมีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของทีมฟุตบอลใหญ่ๆ ได้ ในขณะที่แฟนบอลของลีดส์ ยูไนเต็ดมองว่า แม็คอัลลิสเตอร์ ก็คือนักเตะที่สร้างสมดุลในแดนกลางของลีสด์ ยูไนเต็ด ให้มีความลงตัว และมีจุดเด่นในการจ่ายบอลที่แม่นยำ เขาค้าแข้งอยู่กับลีดส์ ยูไนเต็ดอยู่ 6 ฤดูกาล ลงสนามไปทั้งหมด 231 นัด ทำไป 31 ประตู
และในปี 1996 แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ได้เป็นกัปตันทีมของทีมชาติสกอตแลนด์ ชุดทีมลุยศึกยูโร 1996
หลังจากที่เขาย้ายออกจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด แม็คอัลลิสเตอร์ ในวัย 32 ปี ได้ย้ายไปอยู่กับ โคเวนทรี ซิตี้ ในปี 1996 ซึ่งในเวลานั้น โคเวนทรี ซิตี้ เป็นทีมระดับล่างของพรีเมียร์ลีก มีหลายคนมองว่าการที่เขาย้ายมา โคเวนทรี ซิตี้ ก็เพื่อมาทิ้งทวนการค้าแข้งของเขาที่นี่ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นเลยเพราะเขายังคงลงสนามด้วยความสนุกสนานทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จกับการค้าแข้งกับ โคเวนทรี ซิตี้ เนื่องจากเขามีอายุที่มากขึ้นและมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนก่อน แต่เขาก็ได้ใช้ประสบการณ์ของเขาช่วยให้ทีมไม่ต้องตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แม็คอัลลิสเตอร์ อยู่กับ โคเวนทรี ซิตี้ จนหมดสัญญาซึ่งตอนนั้นเขามีอายุ 35 ปี หากเป็นนักเตะในลีกอังกฤษคนอื่นๆ ก็คงประกาศแขวนสตั๊ดไปแล้ว เนื่องจากสไตล์การเล่นของฟุตบอลอังกฤษจะต้องใช้แรงปะทะซึ่งนักเตะจะต้องใช้ความฟิตของร่างกายเป็นอย่างมาก แต่กับ แม็คอัลลิสเตอร์ ไม่ใช่เช่นนั้น
ในปี 2000 ก็เกิดเรื่องประหลาดใจขึ้นเมื่อ เชราร์ อุลริเยร์ ได้ทาบทาม แม็คอัลลิสเตอร์ เพื่อต้องการเขามาเล่นให้กับ ลิเวอร์พูลด้วยสัญญาระยะสั้น 1 ปี และมันเป็นการทิ้งทวนอาชีพนักฟุตบอลของเขา และแน่นอน แม็คอัลลิสเตอร์ ไม่มีทางที่จะปฏิเสธมัน ซึ่ง อุลริเยร์ ได้ออกมาพูดว่าสัญญาที่เกิดขึ้นนี้เป็นสัญญาที่สร้างแรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก และมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของทั้งสองฝ่าย
แม้ว่า ในตอนที่ แม็คอัลลิสเตอร์ ก้าวเข้าสู่สนามแอนฟิลด์ เขาจะมีอายุถึง 35 ปี และมีหลายคนมองว่ามันเป็นเรื่องตลกที่เขาจะมีร่วมทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูลด้วยอายุขนาดนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ประสบการณ์ของ แม็คอัลลิสเตอร์ ที่สะสมมาจากการเป็นนักฟุตบอลในชีวิตของเขา กลายเป็นจิ๊กซอว์ที่ช่วยต่อเติมให้ลิเวอร์พูลประสบความสำเร็จจนเป็นประวัติศาสตร์ในปี 2000-2001 ในฤดูกาลนั้นเขาลงสนามในทุกรายการรวม 49 นัด ซึ่งเป็นตัวจริงถึง 31 นัด และเป็นคนที่เป็นส่วนสำคัญในการพาทีมลิเวอร์พูลคว้า ทริปเปิ้ลแชมป์ ซึ่งก็คือ แชมป์เอฟเอคัพ ,ลีกคัพ และยูฟ่า คัพ และ แม็คอัลลิสเตอร์ ยังสามารถยิงประตูที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลหงส์แดง ได้หลายลูก เช่นในการยิงฟรีคลิกในเกมที่พบกับเอฟเวอร์ตันในนาทีสุดท้ายช่วยให้ทีมเอาชนะไป 3-2 ซึ่งเป็นประตูที่หลายคนยังจดจำแม้จะผ่านไปนานแล้วก็ตาม รวมถึงการดวลจุดโทษในลูกตัดสิน ช่วยให้ทีมเอาชนะบาร์เซโลนาในเกมยุโรปรอบตัดเชือก และในรอบชิงชนะเลิศ ชนะจุดโทษ ที่ทำให้ทีมชนะ อลาเบส หลังเสมอกันในเวลา 4-4 โดยเขาเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้ 1 ประตู และเป็นนักเตะที่ยิงจุดโทษตัดสินแชมป์ด้วย แม็คอัลลิสเตอร์ ร่วมงานกับ ลิเวอร์พูล อยู่ 2 ฤดูกาล เขาลงสนามทั้งหมดถึง 87 นัด และยิงไป 9 ประตู เขากลายเป็นคนสำคัญและเป็นอาจารย์ของนักเตะรุ่นใหม่ของลิเวอร์พูลในตอนนั้นที่ดูเขาเป็นแบบอย่าง
ในปี 2002 -2004 แม็คอัลลิสเตอร์ กลับไปช่วยงานกับ โคเวนทรี ซิตี้ อีกครั้ง ที่ในตอนนั้นตกชั้นไปเล่นในลีกแชมเปี้ยนส์ชิป โดย เขารับหน้าที่เป็นทั้งนักเตะและผู้จัดการทีม ก่อนที่เขาจะเลิกเล่นฟุตบอลแบบเป็นทางการในวัย 40 ปี
และในปี 2008 แม็คอัลลิสเตอร์ ก็ได้ย้ายกลับมาที่ ลีดส์ ยูไนเต็ดอีกครั้ง กับบทบาทใหม่ในฐานะผู้จัดการทีม และในปี 2010 ได้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับแอสตันวิลล่า
ในปี 2018 เมื่อ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตนักเตะของลิเวอร์พูล ได้ตัดสินใจรับงานคุมทีม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส ชื่อของ แม็คอัลลิสเตอร์ ก็เป็นชื่อแรกที่ เจอร์ราร์ด คิดถึงและติดต่อเขาเพื่อขอให้มาเป็นมือขวาของเขาทันที ก่อนที่พวกเขาช่วยกันทำทีมจนประสบความสำเร็จมาจนถึงในตอนนี้ ที่ เจอร์ราร์ด ย้ายมาคุมทีมแอสตัน วิลล่า ก็มีชื่อของ แม็คอัลลิสเตอร์ ย้ายตามมาด้วยเช่นกัน
เขาคือนักฟุตบอลชาวสกอตแลนด์คนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการค้าแข้งในอังกฤษ และนอกจากนี้ เขายังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คน ว่าอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข และเราสามารถประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง แม้จะมีคนมองว่ามันหมดเวลาหรือสายเกินไปแล้วก็ตาม